ยานี้ใช้สำหรับรักษาหรือบรรเทาอาการไข้และอาการปวดระดับเล็กน้อยถึงปานกลางได้ รวมทั้งอาการปวดข้อ แต่ไม่เหมือนแอสไพริน (aspirin) ตรงที่ไม่สามารถบรรเทาอาการแดง ปวด บวมที่มีสาเหตุมาจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ยานี้สามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาของแพทย์ อย่างไรก็ตามหากใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่น ๆ ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับขนาดยาที่ต้องใช้
ก่อนการใช้ยา

การแพ้ยา
โปรดแจ้งแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใด ๆ หรือมีประวัติการแพ้ยาพาราเซทามอล (paracetamol) หรือ ส่วนประกอบใด ๆ ในยานี้ รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่น ๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น
ตั้งครรภ์
ABCDX
รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'B' สำหรับสตรีมีครรภ์
จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาไม่มีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์ หรือ จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายามีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่พบผลดังกล่าวจากการศึกษาในมนุษย์ ดังนั้น ยาที่จัดอยู่ในประเภทนี้สามารถใช้ในสตรีมีครรภ์ได้ค่อนข้างปลอดภัย
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ แม้ว่ายังไม่มีการศึกษาในสตรีมีครรภ์ แต่ไม่มีรายงานว่า ความผิดปกติในการคลอดหรือปัญหาอื่น ๆ จากการใช้พาราเซทามอล (paracetamol)
กำลังให้นมบุตร
แม้ว่าพาราเซทามอล (paracetamol) สามารถขับออกสู่น้ำนมได้ในปริมาณเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่าเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาใด ๆ ในเด็กที่ได้รับนมมารดา
เด็ก
ยานี้เคยมีการศึกษาในเด็กพบว่า ไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือปัญหาใด ๆ ที่แตกต่างจากที่พบในผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามเภสัชภัณฑ์สำหรับเด็กบางชนิดที่ประกอบด้วยยาพาราเซทามอล (paracetamol) และมีเอสพาแทม (aspartame) อาจทำให้เกิดอันตรายในเด็กที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria)
ผู้สูงอายุ
ยานี้เคยมีการศึกษาการใช้ในผู้สูงอายุพบว่า ไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือปัญหาใด ๆ ที่แตกต่างจากที่พบในวัยอื่น ๆ
ยาอื่นที่ใช้อยู่
ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น เมื่อท่านต้องการจะรับประทานยาพาราเซทามอล (paracetamol) ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังใช้ยาอื่นร่วมด้วย
การรับประทานยาบางอย่างร่วมกับพาราเซทามอล (paracetamol) อาจเพิ่มอาการข้างเคียงที่ไม่ต้องการได้ โอกาสเสี่ยงขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละวันท่านรับประทานยาแต่ละชนิดปริมาณมากเพียงใดและท่านรับประทานยาสองตัวร่วมกันมาเป็นระยะเวลานานเพียงใด หากแพทย์หรือทันตแพทย์ให้ท่านรับประทานยาร่วมกัน ควรปฏิบัติตามที่แพทย์หรือทันตแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม ห้ามรับประทานยาต่อไปนี้ร่วมกับพาราเซทามอล (paracetamol) นานกว่า 2–3 วันยกเว้นแพทย์สั่ง
ไดโคลฟีแนก (diclofenac) ไดฟลูนิซัล (diflunisal) อีโตโดแลค (etodolac)
ฟีโนโพรเฟน (fenoprofen) ฟลอคตาฟินีน (floctafenine) เฟลอบิโพรเฟน (flurbiprofen)
ไอบิวโพรเฟน (ibuprofen) อินโดเมทาซิน (indomethacin) คีโทโพรเฟน (ketoprofen)
คีโทโรแลก (ketorolac) มีโคลฟินาเมท (meclofenamate) กรดมีฟีนามิค (mefenamic acid)
นาบูมีโทน (nabumetone) นาพรอกเซน (naproxen) อ็อกซาโปรซิน (oxaprozin)
ฟีนิลบิวทาโซน (phenylbutazone) เพียร็อกซิแคม (piroxicam) ซูลินแดค (sulindac)
เทน็อกซิแคม (tenoxicam) กรดเทียโพรฟีนิก (tiaprofenic acid) โทลมีติน (tolmetin)
แอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันธ์ของซาลิซิเลต (salicylates)
ภาวะโรคร่วม
ปัญหาการเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ยาพาราเซทามอล (paracetamol) ท่านควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านมีสภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย
ติดแอลกอฮอล์
โรคไต (อยู่ในภาวะรุนแรง)
ตับอักเสบหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับอื่นๆ เนื่องจากอาการข้างเคียงจากการใช้ยานี้จะรุนแรงมากขึ้น
โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) เนื่องจากพาราเซทามอล (paracetamol) บางผลิตภัณฑ์อาจมีส่วนประกอบของเอสพาแทม (aspartame) ซึ่งทำให้อาการของโรคดังกล่าวแย่ลง
การใช้ที่ถูกต้อง
ควรใช้ขนาดยาตามใบสั่งยาของแพทย์หรือตามที่ระบุบนฉลากยา
ห้ามใช้ยานี้มากกว่าที่ระบุบนฉลาก การใช้ยานี้มากเกินไปอาจทำให้เกิดพิษต่อตับและไต
ไม่ควรใช้ยานี้นานเกิน 5 วัน
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้พาราเซทามอลสำหรับเหน็บทวารหนัก (paracetamol suppositories)
ถ้ายาเหน็บนิ่มเกินที่จะสอดได้ ควรนำไปแช่ตู้เย็น 30 นาทีหรือแช่ในน้ำเย็นก่อนเอาออกจากกระดาษฟอยด์ที่ห่ออยู่ การสอดยาเหน็บ ในขั้นแรกเอากระดาษฟอยด์ที่ห่อออกก่อนแล้วทำให้ยาเหน็บชุ่มชื้นด้วยการจุ่มลงในน้ำเย็น นอนตะแคงข้างและใช้นิ้วดันยาเหน็บเข้าสู่ช่องทวารหนัก
ขนาดยา
ขนาดยาพาราเซทามอล (paracetamol) อาจจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ควรใช้ขนาดยาตามใบสั่งยาของแพทย์หรือตามที่ระบุบนฉลาก ข้อมูลต่อไปนี้เป็นเพียงขนาดยาเฉลี่ย หากขนาดยาของท่านแตกต่างไปจากนี้ ไม่ควรเปลี่ยนขนาดยาเองถ้าแพทย์ไม่ได้ระบุ
จำนวนแคปซูล, เม็ดหรือช้อนโต๊ะของยาน้ำใสหรือยาน้ำแขวนตะกอนที่ท่านรับประทาน ปริมาณแกรนูลหรือผงยาที่ท่านรับประทานหรือจำนวนยาเหน็บที่ท่านใช้ ขึ้นอยู่กับความแรงของยา ดังนั้นขนาดยาที่ท่านใช้ในแต่ละวันและแต่ละเวลาจะขึ้นอยู่กับความแรงของยา
สำหรับยาในรูปแบบยารับประทาน (ยาน้ำใส ยาน้ำแขวนตะกอนหรือยาเม็ด) และยาในรูปแบบเหน็บทวารหนัก (suppositories) สำหรับบรรเทาอาการปวดหรือลดไข้
ก. วัยรุ่นและผู้ใหญ่
ขนาดยา 325 หรือ 500 มิลลิกรัมทุก 3-4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
ขนาดยา 650 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
ขนาดยา 1000 มิลลิกรัมทุก 6 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
ขนาดยาไม่เกิน 4000 มิลลิกรัมต่อวัน เช่น ขนาด 500 มิลลิกรัม ควรรับประทานไม่เกิน 8 เม็ด
ข. การใช้พาราเซทามอล (paracetamol) ในเด็กขึ้นกับอายุของเด็ก
ทารกแรกเกิด – 3 เดือน : ขนาดยา 40 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
ทารก 4 เดือน – 12 เดือน: ขนาดยา 80 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
เด็กอายุ 1 – 2 ปี : ขนาดยา 120 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
เด็กอายุ 2 – 4 ปี : ขนาดยา 160 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
เด็กอายุ 4 – 6 ปี : ขนาดยา 240 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
เด็กอายุ 6 – 9 ปี : ขนาดยา 320 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
เด็กอายุ 9 – 11 ปี : ขนาดยา 320–400 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
เด็กอายุ 11 – 12 ปี : ขนาดยา 320–480 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น
โดยทั่วไปรับประทานทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการปวด หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยใดให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
รับประทานยานี้ได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร แต่ควรรับประทานเหมือนกันทุกครั้งและควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง
สำหรับทารกและเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้
สำหรับผู้ใหญ่ ห้ามรับประทานยานี้มากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อครั้ง
สำหรับผู้ใหญ่ ห้ามรับประทานยานี้มากกว่า 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน
สำหรับผู้ใหญ่ ห้ามรับประทานยานี้ติดต่อกันเกิน 5-10 วัน เว้นแต่แพทย์สั่ง
สำหรับเด็ก ห้ามรับประทานยานี้ติดต่อกันเกิน 3-5 วัน เว้นแต่แพทย์สั่ง
ห้ามรับประทานยานี้มากกว่าหรือน้อยกว่า หรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้ การรับประทานยานี้มากกว่าหรือบ่อยกว่าตามที่ระบุในใบสั่งยาของแพทย์หรือบนฉลากยาอาจเป็นอันตรายต่อตับได้
เมื่อลืมใช้ยา
หากท่านลืมรับประทานยาให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าใกล้ถึงมื้อต่อไปให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยาปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
การเก็บรักษา
ควรเก็บให้พ้นมือเด็ก
เก็บให้ไกลจากความร้อนหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
ห้ามเก็บพาราเซทามอล (paracetamol) ไว้ในห้องน้ำ ใกล้อ่างล้างมือหรือที่ชื้น เนื่องจากยาอาจเสื่อมคุณภาพได้
ควรเก็บยาในรูปแบบยาเหน็บในตู้เย็น
ทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ
ข้อควรระวัง
บอกแพทย์หรือทันตแพทย์ให้ทราบหาก
ท่านใช้ยานี้เพื่อบรรเทาอาการปวด รวมทั้งการปวดข้อและการปวดที่มากกว่า 10 วันในผู้ใหญ่หรือมากกว่า 5 วันในเด็กหรืออาการปวดยิ่งแย่ลง มีอาการใหม่เกิดขึ้นหรือมีการบวมแดงบริเวณที่ปวด สิ่งเหล่านี้เป็นอาการที่บ่งบอกถึงอาการที่รุนแรงซึ่งควรได้รับการรักษา
หากท่านใช้ยานี้เพื่อลดไข้ และไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วันหรือมีไข้ขึ้นมาใหม่ อาการไข้ยิ่งแย่ลง หรือมีการบวมแดงเกิดขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เป็นอาการบ่งบอกถึงอาการที่รุนแรงซึ่งควรได้รับการรักษา
หากท่านรับประทานยานี้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอและอาการเจ็บคอยิ่งเจ็บมากขึ้น หรือไม่หายภายใน 2 วันหรือมีอาการอย่างอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่นขึ้น คลื่นไส้หรืออาเจียน
มีประวัติการแพ้ยาพาราเซทามอล (paracetamol) หรือยาอื่น ๆ
ยาอื่น ๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ซื้อรับประทานเอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
การตั้งครรภ์ การวางแผนจะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ๆ หรือบ่อย ๆ และ/หรือประวัติการเป็นโรคพิษสุรา (alcoholism)
การมีหรือเคยมีความผิดปกติของการทำงานของตับ เป็นหรือมีประวัติเคยเป็นโรคตับ
โรค, ภาวะหรือปัญหาความเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่มี
อายุหรือวัยของผู้ใช้ เช่น เด็ก, ผู้สูงอายุ ในกรณีที่เป็นทารกหรือเด็กเล็กควรบอกน้ำหนักตัวของเด็กแก่แพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบด้วย
อ่านฉลากยาให้ละเอียดทั้งยาที่แพทย์สั่งหรือยาที่ซื้อรับประทานเอง หากยาที่รับประทานอยู่มีพาราเซทามอล (paracetamol) เป็นส่วนประกอบ ควรบอกแพทย์ทันทีเนื่องจากหากได้ยาร่วมกันอาจจะได้พาราเซทามอล (paracetamol) ในปริมาณที่มากเกินไป
หากท่านจะรับประทานพาราเซทามอล (paracetamol) มากกว่า 1–2 เม็ด ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสที่ตับจะถูกทำลายได้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อท่านดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นประจำหรือหากท่านรับประทานพาราเซทามอล (paracetamol) มากกว่าที่แนะนำในฉลากหรือหากท่านรับประทานยานี้เป็นเวลานาน
พาราเซทามอล (paracetamol) อาจรบกวนผลของการทดสอบทางการแพทย์บางอย่าง ก่อนที่จะทำการทดสอบใด ๆ หากรับประทานยาพาราเซทามอล (paracetamol) ใน 3-4 วันที่ผ่านมา ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ให้ทราบว่าใช้ยาพาราเซทามอล (paracetamol) นี้อยู่ด้วย เป็นไปได้ควรโทรบอกห้องปฏิบัติการก่อนที่จะทำการทดสอบประมาณ 4 วัน
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
พาราเซทามอล (paracetamol) อาจให้ผลการทดสอบที่ผิดพลาดในการทดสอบหาน้ำตาลในเลือด หากท่านสงสัยในผลการทดสอบหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหานี้ที่อาจเกิดขึ้นได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี
หากท่านคิดว่าท่านหรือบุคคลอื่น ๆ อาจจะได้รับยาพาราเซทามอล (paracetamol) เกินขนาด ควรที่จะได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนแม้ว่าจะไม่มีอาการแสดงออกถึงการเกิดพิษ อาการแสดงของการเกิดพิษที่รุนแรงอาจจะปรากฎประมาณ 2-4 วันหลังจากที่ได้รับขนาดยาเกิน แต่การรักษาเพื่อป้องกันการทำลายตับหรือป้องกันการตายควรจะเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การรักษาที่เริ่มการรักษาหลังจาก 24 ชั่วโมงที่ได้รับยาเกินขนาดมักไม่ได้ผล
อาการไม่พึงประสงค์
ยาอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ต้องการ ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงต่อไปนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด แต่หากเกิดอาการข้างเคียงขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ก. ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้น
พบน้อยมาก
ตาเหลืองตัวเหลือง
อาการเมื่อได้รับยาเกินขนาด
ท้องร่วง เหงื่อออกมากขึ้น ความอยากอาหารลดลง คลื่นไส้หรืออาเจียน ปวดเกร็งกระเพาะอาหาร บวม ปวดหรือรู้สึกตึงที่ท้องส่วนบนหรือบริเวณกระเพาะอาหาร
ข. ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้น
พบน้อยมาก
อุจจาระสีเข้มหรือมีเลือดปน
ปัสสาวะขุ่นหรือมีเลือดปน ปริมาณปัสสาวะลดลงทันทีทันใด
มีไข้แต่ไม่หนาวสั่น (ที่ไม่ได้เกิดก่อนการรักษาหรือที่เป็นสาเหตุของการรักษา)
ปวดบั้นเอวและข้างเอว (ปวดมากหรือเจ็บแปลบๆ)
มีจุดเลือดออกในตา
มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง, มีผื่นลมพิษ, คัน, เจ็บปวดทรมาน มีแผล หรือจุดขาว ๆ ที่ริมฝีปากหรือช่องปาก, เจ็บคอ (ที่ไม่ได้เกิดก่อนการรักษาหรือที่เป็นสาเหตุของการรักษา)
อ่อนเพลียผิดปกติ
เลือดออกมากผิดปกติ
ค. อาการข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางราย หากท่านสังเกตเห็นอาการข้างเคียงอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ข้อมูลโดย http://healthy.in.th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น